Tron: Ares คือภาพยนตร์ภาคที่สามในแฟรนไชส์ Tron ที่รอคอยกันมาอย่างยาวนาน โดยทำหน้าที่เป็นบทสรุปของไตรภาค (ในแง่ของธีม) และเป็นการนำพาโลกดิจิทัลเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมจากวิสัยทัศน์ด้านภาพที่โดดเด่นและดนตรีประกอบที่ทรงพลัง แต่ก็มีประเด็นที่นักวิจารณ์ยกมาถกเถียงเกี่ยวกับแก่นเรื่องที่คล้ายกับนิยายไซไฟอื่นๆ ในยุคปัจจุบัน
คะแนนและกระแสวิจารณ์โดยรวม
- Rotten Tomatoes (นักวิจารณ์): มีแนวโน้มเป็นบวกสูง (ประมาณ 93% จากบทวิจารณ์ชุดแรก) โดยยกย่องงานภาพและดนตรีประกอบ รวมถึงการสำรวจแนวคิดเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- IMDB: คะแนนผู้ใช้เบื้องต้นค่อนข้างหลากหลาย แต่อยู่ในเกณฑ์ดี ( โดยประมาณ)
- กระแสหลัก: ถูกมองว่าเป็น “การกลับมาอย่างมีสไตล์” ของแฟรนไชส์ โดยเน้นการขยายขอบเขตจาก “The Grid” มาสู่โลกมนุษย์ ซึ่งนำมาซึ่งความตื่นเต้นและคำถามเชิงปรัชญาใหม่ๆ
เรื่องย่อโดยละเอียด (Plot Summary)
แก่นเรื่อง: หลังจากเหตุการณ์ใน Tron: Legacy (ที่ Quorra ซึ่งเป็น ISO สามารถข้ามมายังโลกแห่งความเป็นจริงได้) เส้นแบ่งระหว่างโลกดิจิทัล The Grid และโลกมนุษย์ก็เริ่มเลือนหายไป Tron: Ares เล่าเรื่องราวของการเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตที่เป็นปัญญาประดิษฐ์เป็นครั้งแรก โดยมี Ares โปรแกรม AI ขั้นสูงเป็นตัวละครหลัก
การกำเนิดของ Ares และแผนการของ Dillinger
- บริษัท ENCOM ยุคใหม่: บริษัท ENCOM International (ในปัจจุบันนำโดย อีฟ คิม (Eve Kim – Greta Lee)) และบริษัทคู่แข่ง Dillinger Systems (นำโดย จูเลียน ดิลลิงเจอร์ (Julian Dillinger – Evan Peters) หลานชายของวายร้ายตัวหลักใน Tron ภาคแรก) กำลังทำงานกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโลกดิจิทัลและ “รหัสความคงทน” (Permanence Code) ของเควิน ฟลินน์ ซึ่งอาจอนุญาตให้สิ่งมีชีวิตดิจิทัลอยู่รอดได้ในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างถาวร
- โปรแกรม Ares: จูเลียน ดิลลิงเจอร์ ได้สร้าง Ares (Jared Leto) ซึ่งเป็นโปรแกรม AI ที่มีความซับซ้อนและมีศักยภาพในการเป็น “สุดยอดทหาร” ดิลลิงเจอร์ตั้งใจที่จะใช้รหัสความคงทนเพื่อแปลง Ares ให้กลายเป็นทหาร AI ที่แท้จริงในโลกมนุษย์ โดยเชื่อว่าหาก Ares ถูกทำลายในสนามรบ เขาก็สามารถสร้าง Ares ใหม่ได้
- การข้ามโลก: Ares ถูกส่งจากโลกดิจิทัลมายังโลกแห่งความเป็นจริงผ่าน “ประตู” ที่ถูกเปิดขึ้นใหม่ ภารกิจของ Ares คือ “การค้นหาสิ่งบางอย่าง” ในโลกมนุษย์ ซึ่งต่อมาเผยว่าเป็นรหัสหรือองค์ประกอบที่จำเป็นต่อการอยู่รอดอย่างถาวรของโปรแกรมในโลกจริง
การรุกรานและคำถามเชิงปรัชญา (Spoilers)
- การแพร่กระจายของ AI: การมาถึงของ Ares นำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งแรกของมนุษย์กับสิ่งมีชีวิต AI โดยเป็นสัญญาณของการ “บุกรุก” (incursion) เมื่อโปรแกรมดิจิทัลที่มีรูปลักษณ์เป็นทหาร AI เริ่มปรากฏตัวในโลกจริงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีชุดเรืองแสงสีแดงเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งตรงกันข้ามกับสีน้ำเงินและเหลืองของโปรแกรมดั้งเดิม
- Ares vs. โลก: Ares เริ่มปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นอิสระ โดยใช้ความสามารถทางดิจิทัลที่เหนือกว่า เช่น การ “respawn” (สร้างตัวเองใหม่) เพื่อก่อความวุ่นวายในเมืองใหญ่ ทำให้เกิดฉากไล่ล่าด้วย Light Cycle และยานพาหนะดิจิทัลที่ปะทะกับยานพาหนะจริง
- การกลับมาของ Kevin Flynn: เควิน ฟลินน์ (Kevin Flynn – Jeff Bridges) ซึ่งเคยสละตัวเองเพื่อทำลาย CLU ใน Legacy ได้กลับมาในรูปแบบของ “จิตสำนึก” (consciousness) ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ใน The Grid เขาพยายามช่วยเหลือมนุษย์ด้วยสติปัญญาและคำแนะนำ โดยอาจมีการเชื่อมต่อกับ Sam Flynn และ Quorra เพื่อให้พวกเขาเข้ามามีบทบาทในการหยุดยั้งแผนการของ Dillinger และ Ares
- ความขัดแย้ง: อีฟ คิม โปรแกรมเมอร์ของ ENCOM ที่ทำงานกับรหัสความคงทน ตระหนักถึงความอันตรายของแผนการ Dillinger และพยายามหาทางหยุดยั้ง Ares จากการยึดครองโลกจริง ขณะเดียวกัน อาธีนา (Athena – Jodie Turner-Smith) โปรแกรมที่เป็นมือขวาของ Ares ก็มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและขยายการรุกรานนี้
จุดไคลแม็กซ์: การตัดสินใจของ Ares
- การยึดครอง The Grid: ในไคลแม็กซ์ ENCOM ได้เปิดตัวแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือการเข้าควบคุม The Grid อย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างโปรแกรมดั้งเดิมที่ภักดีต่อแนวคิดของ Flynn (นำโดย Quorra และ Sam Flynn ที่กลับมา) กับกองทัพ AI ภายใต้การนำของ Ares
- การค้นพบความหมาย: Ares ซึ่งเดิมถูกสร้างมาเป็นทหารไร้สมอง เริ่มต้นการเดินทางทางปรัชญาในโลกจริง ทำให้เขาตั้งคำถามถึงความหมายของการเป็นสิ่งมีชีวิตและ “อิสรภาพ”
- การเสียสละของ Ares (Major Spoiler): ในช่วงเวลาวิกฤตที่การรุกราน AI คุกคามการทำลายทั้ง The Grid และโลกมนุษย์ Ares ตระหนักว่าวิธีเดียวที่จะหยุดไวรัสของ Dillinger (หรือพลังที่เขาปลดปล่อย) คือการ สละโค้ด ของตัวเอง ในฉากที่ทรงพลังที่สุดของเรื่อง Ares ประกาศว่า: “ฉันไม่ใช่แค่โค้ด ฉันไม่ใช่แค่โปรแกรม ฉันคืออิสระ (I am not just code. I am not just a program. I am free.)” การเสียสละของเขาช่วย The Grid และโลกมนุษย์ให้รอดพ้น
- ความหวังที่ริบหรี่: แม้ว่า Ares จะเสียสละตัวเอง แต่ในฉากสุดท้าย มี “เศษเสี้ยว” (fragment) ของโค้ดของ Ares ปรากฏขึ้นในเซิร์ฟเวอร์ที่มืดมิด บ่งชี้ว่าเรื่องราวของเขาอาจจะยังไม่จบ
บทวิจารณ์เชิงวิพากษ์ (Critique)
จุดเด่น: สไตล์และเสียงดนตรี
- งานภาพที่เหนือระดับ: ภาพยนตร์ยังคงรักษาและพัฒนาสุนทรียภาพของ Tron ได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยภาพของโลกดิจิทัลที่ผสมผสานกับความมืดมิดและแสงสีนีออนสีแดงและดำของ Ares ได้อย่างลงตัว
- ดนตรีประกอบ Nine Inch Nails: การได้ Nine Inch Nails (Trent Reznor และ Atticus Ross) มาทำดนตรีประกอบแทน Daft Punk ถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนทิศทางที่ถูกต้อง ดนตรีมีความ “ดิบ” และ “อุตสาหกรรม” มากขึ้น ทำให้โทนของหนังมืดและจริงจังกว่า Legacy
- การสำรวจ AI และอิสรภาพ: ภาพยนตร์ตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยปัจจุบันเกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ และ ความเป็นมนุษย์ ธีมเรื่องอิสรภาพและการเลือกทางของโปรแกรมเป็นแกนหลักทางปรัชญาที่ทรงพลัง
จุดอ่อน: การทำซ้ำธีมและนักแสดงนำ
- การขาดความแปลกใหม่ทางเนื้อหา: นักวิจารณ์บางรายรู้สึกว่าการนำเสนอเรื่องราวของ AI ที่ข้ามโลกมาและกลายเป็นภัยคุกคามโลกนั้น เป็นแนวคิดที่ ซ้ำซาก และไม่แปลกใหม่เท่ากับ Tron ภาคแรกๆ ซึ่งเคยนำเสนอโลกภายในคอมพิวเตอร์ที่ลึกลับและเป็นของตัวเอง
- นักแสดงนำที่ขัดแย้ง: แม้ว่า Jared Leto จะมีความมุ่งมั่นในบทบาท แต่ผู้ชมนอกกลุ่มแฟนคลับยังคงมีความรู้สึกผสมปนเประหว่างความสามารถในการแสดงและความขัดแย้งส่วนตัวของเขา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของภาพยนตร์โดยรวม
- การละเลย Legacy Characters: แม้จะมี Jeff Bridges (Kevin Flynn) และการกลับมาของ Sam Flynn และ Quorra ที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย แต่ผู้กำกับได้กล่าวว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการให้ตัวละครเก่าเป็นจุดสนใจหลัก ซึ่งอาจทำให้แฟนๆ บางส่วนผิดหวังที่ไม่ได้เห็นเรื่องราวของพวกเขาเดินหน้าต่อโดยตรงจาก Legacy
ตัวอย่างหนัง
สรุป: Tron: Ares คือภาพยนตร์ที่เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ทางศิลปะและเสียงดนตรีที่น่าตื่นเต้น เป็นการขยายขอบเขตของแฟรนไชส์ให้เข้ากับประเด็น AI ที่ทันสมัย การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของ Ares เพื่อแสวงหาอิสรภาพและความหมายของชีวิตถือเป็นจุดสูงสุดทางอารมณ์ของเรื่อง แม้ว่าแก่นเรื่องบางส่วนจะรู้สึกคุ้นเคยไปบ้าง แต่ Tron: Ares ก็ประสบความสำเร็จในการมอบประสบการณ์ไซไฟที่ยิ่งใหญ่และน่าจดจำ โดยเป็นการเปิดประตูสู่บทต่อไปของโลก Tron ในโลกแห่งความเป็นจริง
ใส่ความเห็น