หมวดหมู่: Movie

  • ทำไมดิอเวนเจอร์ไม่มีคนเก่งเหมือนเดอะแฟลช? เปรียบเทียบพลัง ความต่าง และแนวคิดของฮีโร่สองจักรวาล

    เดอะแฟลช (แบร์รี อัลเลน) - วิกิพีเดีย

    เมื่อพูดถึง “ความเร็วเหนือมนุษย์” ในโลกของซูเปอร์ฮีโร่ ชื่อที่แฟน ๆ ทุกคนต้องนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ คือ The Flash (เดอะแฟลช) ฮีโร่สายฟ้าจากจักรวาล DC Comics ผู้มีพลังความเร็วระดับทะลุมิติ วิ่งย้อนเวลาได้ และสามารถเปลี่ยนชะตาของโลกได้ด้วยการก้าวเพียงก้าวเดียว

    ในขณะเดียวกัน หากเราหันมามองทางฝั่ง Marvel Cinematic Universe (MCU) หรือแม้แต่คอมิกส์ของมาร์เวล จะพบว่ามีฮีโร่หลายคนที่เร็ว — แต่ไม่มีใคร “เร็วแบบเดอะแฟลช” เลย
    นั่นจึงกลายเป็นคำถามยอดฮิตของแฟน ๆ ว่า

    “ทำไมดิอเวนเจอร์ไม่มีตัวละครที่เก่งเรื่องความเร็วสุดขั้วเหมือนเดอะแฟลช?”

    บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทั้งในแง่ของ “เนื้อเรื่อง”, “แนวคิดของผู้สร้าง”, “พลังเปรียบเทียบ” และ “เหตุผลเบื้องหลังทางโครงสร้างของจักรวาล” ว่าทำไมแฟลชจึงโดดเด่นแบบไร้คู่เทียบ และทำไมฝั่งอเวนเจอร์สถึงเลือก “แนวทางความเก่ง” ที่แตกต่างออกไป


    จุดเริ่มต้นของความเร็วเหนือมนุษย์: เดอะแฟลชในตำนาน

    เดอะแฟลชคือใคร?

    The Flash มีหลายเวอร์ชันในจักรวาล DC เช่น

    • Jay Garrick (แฟลชคนแรก, ปี 1940)

    • Barry Allen (แฟลชคนดังที่สุด, รุ่นที่สอง)

    • Wally West (หลานชายของ Barry ที่รับช่วงต่อ)

    โดยเฉพาะ Barry Allen คือเวอร์ชันที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในทั้งคอมิกส์ ซีรีส์ และภาพยนตร์ เขาเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับพลังจากการถูกสายฟ้าผ่าระหว่างทำงานกับสารเคมี จนเข้าสู่ “Speed Force” — พลังพิเศษที่เป็นเหมือนมิติแห่งความเร็ว

    แฟลชจึงไม่ใช่แค่ “เร็ว” แต่สามารถเคลื่อนไหวเร็วกว่าแสง วิ่งข้ามเวลา ข้ามจักรวาล และแม้แต่สร้างโลกคู่ขนานใหม่ได้ด้วยการ “ย้อนอดีต”


    แล้วทำไมอเวนเจอร์สไม่มีใครแบบนี้?

    1. เพราะ “แนวคิดการสร้างฮีโร่” ต่างกันโดยสิ้นเชิง

    ฝั่ง DC Comics มักออกแบบฮีโร่ให้มี “พลังระดับเทพ” เช่น Superman, Wonder Woman หรือ The Flash ที่แทบจะเป็นเทพเจ้าของมนุษย์โลก
    ขณะที่ Marvel ตั้งใจสร้างฮีโร่ให้ “มีความเป็นมนุษย์” มากกว่า — มีจุดอ่อน มีข้อจำกัด และมีความสัมพันธ์กับโลกแห่งความจริง เช่น Iron Man ที่พึ่งพาเทคโนโลยี, Captain America ที่มีพลังแค่เหนือมนุษย์ทั่วไป, หรือ Spider-Man ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตสองด้าน

    นั่นทำให้ Marvel ไม่เน้น “ฮีโร่ที่เก่งจนล้ำเกินขอบเขตมนุษย์” แต่เน้น “ฮีโร่ที่มีหัวใจ” มากกว่า


    2. พลังความเร็วใน Marvel มีอยู่ แต่ไม่ถึงระดับแฟลช

    แม้ในจักรวาล Marvel จะไม่มีใคร “เท่าเดอะแฟลช” แต่ก็มีหลายตัวละครที่มีความเร็วโดดเด่น เช่น

    • Quicksilver (Pietro Maximoff)
      เป็นหนึ่งในตัวละครที่เร็วที่สุดของ Marvel และเคยอยู่ทั้งในจักรวาล X-Men และ Avengers
      เขาสามารถเคลื่อนไหวด้วยความเร็วระดับเสียงและหลบกระสุนได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่ถึงขั้น “เดินทางข้ามเวลา” เหมือนแฟลช

    • Northstar (Jean-Paul Beaubier) จากทีม X-Men
      มีความเร็วใกล้เคียงแสง แต่ยังไม่ถึงระดับที่สามารถเชื่อมต่อกับมิติหรือเปลี่ยนโครงสร้างเวลาได้

    • Makkari จากกลุ่ม Eternal
      มีพลังที่มาจากพลังจักรวาล สามารถวิ่งเร็วกว่า Quicksilver ในบางช่วง แต่ Marvel เลือกจำกัดพลังของเธอให้อยู่ในกรอบที่ไม่ทะลุมิติ

    สรุปคือ Marvel ตั้งใจ “จำกัดขอบเขตของความเร็ว” เพื่อให้พลังแต่ละคนไม่ทับซ้อนกัน และเพื่อรักษาความสมดุลของเนื้อเรื่องในระดับจักรวาล


    3. เพราะการมี “แฟลช” ใน Marvel จะทำลายสมดุลจักรวาล

    หาก Marvel สร้างตัวละครที่ “วิ่งเร็วระดับย้อนเวลาได้” เหมือน The Flash
    มันจะทำให้ “สมดุลของเนื้อเรื่อง” พังทันที เพราะทุกเหตุการณ์ในจักรวาลสามารถ “ถูกแก้ไข” ได้ง่ายเกินไป

    ตัวอย่างเช่น ถ้า Iron Man มีเพื่อนที่สามารถย้อนเวลาได้ เขาคงไม่ต้องเสียสละชีวิตใน Endgame
    หรือหาก Doctor Strange สามารถเดินทางข้ามเวลาได้อิสระเหมือนแฟลช โลกคงไม่ต้องเจอปัญหา Multiverse วุ่นวายอย่างทุกวันนี้

    Marvel จึงเลือกใช้ “แนวทางเชิงตรรกะ” มากกว่า “แนวทางเทพเจ้า” เพื่อให้ทุกการเสียสละมีความหมาย


    4. Speed Force ไม่มีอยู่ในจักรวาล Marvel

    หนึ่งในหัวใจหลักของแฟลชคือพลัง Speed Force — มิติพิเศษที่เก็บพลังความเร็วไว้ในจักรวาล DC
    มันคือแหล่งพลังเหนือธรรมชาติที่ไม่อิงฟิสิกส์โลกจริง ทำให้แฟลชสามารถเข้าถึงพลังระดับพระเจ้า

    ในขณะที่ Marvel ไม่มีสิ่งที่เทียบเท่า Speed Force พลังส่วนใหญ่ของฮีโร่จะอิงกับแหล่งพลังเชิงตรรกะ เช่น

    • เทคโนโลยี (Iron Man, War Machine)

    • วิทยาศาสตร์ (Hulk, Spider-Man)

    • พลังจักรวาล (Captain Marvel, Thor)

    • เวทมนตร์ (Doctor Strange, Wanda Maximoff)

    ดังนั้น “มิติแห่งความเร็ว” แบบ Speed Force จึงไม่มีที่ยืนในโครงสร้างของ Marvel Universe


    เปรียบเทียบพลัง: The Flash vs Quicksilver

    คุณสมบัติ The Flash (DC) Quicksilver (Marvel)
    แหล่งพลัง Speed Force (มิติแห่งความเร็ว) การกลายพันธุ์ (Mutant Gene)
    ความเร็วสูงสุด เร็วกว่าความเร็วแสง วิ่งข้ามมิติได้ ประมาณ Mach 10 (10 เท่าของเสียง)
    ความสามารถพิเศษ เดินทางข้ามเวลา สร้างคลื่นเวลา เคลื่อนที่เร็ว หลบการโจมตีระดับสูง
    จุดอ่อน การใช้พลังเกินขอบเขตจะทำลายเวลา พลังจำกัดตามสรีระและพลังชีวภาพ
    แนวคิดของผู้สร้าง ตัวแทนแห่งการเปลี่ยนแปลงและเวลา ตัวแทนของพลังและความหุนหันพลันแล่น

    จะเห็นได้ว่าแฟลชไม่เพียงแค่ “เร็วกว่า” แต่ “มีมิติทางแนวคิด” ที่ลึกซึ้งกว่า — เขาคือสัญลักษณ์ของ “เวลาและการเลือก” ส่วน Quicksilver เป็นตัวแทนของ “อารมณ์และความเร็วในการตัดสินใจ”


    มุมมองของผู้สร้าง: Marvel ไม่ต้องการฮีโร่ที่ไร้ขีดจำกัด

    Kevin Feige ประธานของ Marvel Studios เคยให้สัมภาษณ์ว่า

    “จุดแข็งของเราคือการทำให้คนดูรู้สึกว่า ฮีโร่ก็มีความเป็นคนจริง ๆ พวกเขาเจ็บปวด ผิดพลาด และเติบโตได้”

    ดังนั้น หาก Marvel สร้างตัวละครที่เร็วแบบแฟลช ก็จะทำให้พลังนั้นกลืนทุกอย่างในจักรวาล และลดทอน “ความเป็นมนุษย์” ของเนื้อเรื่องไป

    Marvel จึงเลือก “ความเก่งเชิงอารมณ์” แทน “ความเก่งเชิงพลัง” — เช่น Tony Stark ที่เก่งเพราะสมอง, Captain America ที่เก่งเพราะจิตใจ, หรือ Spider-Man ที่เก่งเพราะความรับผิดชอบ


    การออกแบบทีมอเวนเจอร์ส: พลังเสริมกัน ไม่ซ้ำกัน

    หนึ่งในเสน่ห์ของอเวนเจอร์สคือ “ทุกคนมีจุดแข็งไม่เหมือนกัน”

    • Iron Man: สติปัญญาและเทคโนโลยี

    • Captain America: ภาวะผู้นำและความเชื่อมั่น

    • Thor: พลังเทพเจ้า

    • Hulk: พละกำลังดิบ

    • Black Widow: กลยุทธ์และความเร็วเชิงกล

    • Hawkeye: ความแม่นยำและความมั่นคง

    ดังนั้น Marvel ตั้งใจไม่ให้มีใคร “เก่งจนเหนือคนอื่นทุกด้าน” เพราะเป้าหมายของทีมคือ การเสริมกัน ไม่ใช่แข่งขันกัน


    ถ้ามาร์เวลมีเดอะแฟลช… โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร?

    ลองจินตนาการว่า หาก Marvel มีฮีโร่ที่สามารถย้อนเวลาได้อย่างเสรี

    • Tony Stark จะไม่ต้องตายใน Endgame

    • Loki อาจไม่ได้สร้าง Multiverse

    • Thanos อาจไม่เคยได้ Infinity Gauntlet

    ทุกเหตุการณ์ใหญ่ในจักรวาล Marvel จะถูก “รีเซ็ต” ง่ายเกินไปจนคนดูขาดแรงจูงใจที่จะติดตาม

    ดังนั้น Marvel จึงเลือกที่จะ “ไม่ให้ความเร็วเหนือเวลาเกิดขึ้น” เพื่อรักษาความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง

    Super Premium Set: #2 ชุดเดอะแฟลช THE FLASH - Justice League -  ร้านเช่าชุดคอสเพลย์ ร้านเช่าชุดแฟนซี ชุดซุปเปอร์ฮีโร่ ร้านโฮมคอสเพลย์ HOME  COSPLAY


    สรุป: ความเก่งไม่จำเป็นต้องวัดกันที่ความเร็ว

    แม้เดอะแฟลชจะมีพลังที่เหนือกว่าในเชิงฟิสิกส์ แต่ Marvel มีแนวทางที่ชัดเจนว่า “ความเก่ง” ไม่จำเป็นต้องมาจากความเร็ว
    อเวนเจอร์สแต่ละคนเก่งในสิ่งที่ “สะท้อนคุณค่ามนุษย์” มากกว่า เช่น ความกล้า, ความเสียสละ, หรือความรับผิดชอบ

    ขณะที่แฟลชเก่งใน “การควบคุมเวลา”
    อเวนเจอร์สเก่งใน “การควบคุมใจของตนเอง”

    นั่นคือเหตุผลที่ทั้งสองจักรวาลต่างก็ยิ่งใหญ่ในแบบของตัวเอง


    FAQ (คำถามที่พบบ่อย)

    1. เดอะแฟลชกับ Quicksilver ใครเร็วกว่ากัน?
    คำตอบคือ The Flash เร็วกว่าหลายเท่า เพราะสามารถวิ่งข้ามมิติและย้อนเวลาได้ ในขณะที่ Quicksilver ยังจำกัดอยู่ในความเร็วระดับเสียงเท่านั้น

    2. Marvel จะสร้างตัวละครที่เร็วเท่าแฟลชไหม?
    ในตอนนี้ยังไม่มีแผนจะสร้าง เพราะแนวทางของ Marvel มุ่งเน้นความสมจริงและการมีขอบเขตของพลัง

    3. Quicksilver จะกลับมาใน MCU หรือเปล่า?
    อาจกลับมาได้ในรูปแบบ Multiverse เพราะมีการเปิดโลกคู่ขนานใน Doctor Strange in the Multiverse of Madness แล้ว

    4. Speed Force มีเทียบเท่าใน Marvel หรือไม่?
    ไม่มี Speed Force ในจักรวาล Marvel แต่มีพลังมิติอื่น ๆ เช่น Quantum Realm ที่ใช้ใน Ant-Man ซึ่งเป็นพลังแห่งเวลาเช่นกัน

    5. ถ้า The Flash กับ Iron Man สู้กัน ใครจะชนะ?
    หากเป็นเชิงพลัง แฟลชชนะ แต่หากเป็นเชิงกลยุทธ์หรือเทคโนโลยี Iron Man อาจหาทางรับมือได้ในบางสถานการณ์

    6. ทำไมแฟน ๆ ถึงชอบเปรียบเทียบ Marvel กับ DC เสมอ?
    เพราะทั้งสองค่ายคือรากฐานของวัฒนธรรมซูเปอร์ฮีโร่ระดับโลก และแต่ละฝ่ายก็มีแนวทางที่ต่างกันจนเกิดการเปรียบเทียบตามธรรมชาติ


  • Tron: Ares (2025) ทรอน: แอรีส

    Tron: Ares (2025) ทรอน: แอรีส

    Tron: Ares คือภาพยนตร์ภาคที่สามในแฟรนไชส์ Tron ที่รอคอยกันมาอย่างยาวนาน โดยทำหน้าที่เป็นบทสรุปของไตรภาค (ในแง่ของธีม) และเป็นการนำพาโลกดิจิทัลเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมจากวิสัยทัศน์ด้านภาพที่โดดเด่นและดนตรีประกอบที่ทรงพลัง แต่ก็มีประเด็นที่นักวิจารณ์ยกมาถกเถียงเกี่ยวกับแก่นเรื่องที่คล้ายกับนิยายไซไฟอื่นๆ ในยุคปัจจุบัน

    คะแนนและกระแสวิจารณ์โดยรวม

     

    • Rotten Tomatoes (นักวิจารณ์): มีแนวโน้มเป็นบวกสูง (ประมาณ 93% จากบทวิจารณ์ชุดแรก) โดยยกย่องงานภาพและดนตรีประกอบ รวมถึงการสำรวจแนวคิดเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI)
    • IMDB: คะแนนผู้ใช้เบื้องต้นค่อนข้างหลากหลาย แต่อยู่ในเกณฑ์ดี ( โดยประมาณ)
    • กระแสหลัก: ถูกมองว่าเป็น “การกลับมาอย่างมีสไตล์” ของแฟรนไชส์ โดยเน้นการขยายขอบเขตจาก “The Grid” มาสู่โลกมนุษย์ ซึ่งนำมาซึ่งความตื่นเต้นและคำถามเชิงปรัชญาใหม่ๆ

     

    เรื่องย่อโดยละเอียด (Plot Summary)

     

    แก่นเรื่อง: หลังจากเหตุการณ์ใน Tron: Legacy (ที่ Quorra ซึ่งเป็น ISO สามารถข้ามมายังโลกแห่งความเป็นจริงได้) เส้นแบ่งระหว่างโลกดิจิทัล The Grid และโลกมนุษย์ก็เริ่มเลือนหายไป Tron: Ares เล่าเรื่องราวของการเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตที่เป็นปัญญาประดิษฐ์เป็นครั้งแรก โดยมี Ares โปรแกรม AI ขั้นสูงเป็นตัวละครหลัก

     

    การกำเนิดของ Ares และแผนการของ Dillinger

     

    1. บริษัท ENCOM ยุคใหม่: บริษัท ENCOM International (ในปัจจุบันนำโดย อีฟ คิม (Eve Kim – Greta Lee)) และบริษัทคู่แข่ง Dillinger Systems (นำโดย จูเลียน ดิลลิงเจอร์ (Julian Dillinger – Evan Peters) หลานชายของวายร้ายตัวหลักใน Tron ภาคแรก) กำลังทำงานกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโลกดิจิทัลและ “รหัสความคงทน” (Permanence Code) ของเควิน ฟลินน์ ซึ่งอาจอนุญาตให้สิ่งมีชีวิตดิจิทัลอยู่รอดได้ในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างถาวร
    2. โปรแกรม Ares: จูเลียน ดิลลิงเจอร์ ได้สร้าง Ares (Jared Leto) ซึ่งเป็นโปรแกรม AI ที่มีความซับซ้อนและมีศักยภาพในการเป็น “สุดยอดทหาร” ดิลลิงเจอร์ตั้งใจที่จะใช้รหัสความคงทนเพื่อแปลง Ares ให้กลายเป็นทหาร AI ที่แท้จริงในโลกมนุษย์ โดยเชื่อว่าหาก Ares ถูกทำลายในสนามรบ เขาก็สามารถสร้าง Ares ใหม่ได้
    3. การข้ามโลก: Ares ถูกส่งจากโลกดิจิทัลมายังโลกแห่งความเป็นจริงผ่าน “ประตู” ที่ถูกเปิดขึ้นใหม่ ภารกิจของ Ares คือ “การค้นหาสิ่งบางอย่าง” ในโลกมนุษย์ ซึ่งต่อมาเผยว่าเป็นรหัสหรือองค์ประกอบที่จำเป็นต่อการอยู่รอดอย่างถาวรของโปรแกรมในโลกจริง

     

    การรุกรานและคำถามเชิงปรัชญา (Spoilers)

     

    1. การแพร่กระจายของ AI: การมาถึงของ Ares นำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งแรกของมนุษย์กับสิ่งมีชีวิต AI โดยเป็นสัญญาณของการ “บุกรุก” (incursion) เมื่อโปรแกรมดิจิทัลที่มีรูปลักษณ์เป็นทหาร AI เริ่มปรากฏตัวในโลกจริงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีชุดเรืองแสงสีแดงเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งตรงกันข้ามกับสีน้ำเงินและเหลืองของโปรแกรมดั้งเดิม
    2. Ares vs. โลก: Ares เริ่มปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นอิสระ โดยใช้ความสามารถทางดิจิทัลที่เหนือกว่า เช่น การ “respawn” (สร้างตัวเองใหม่) เพื่อก่อความวุ่นวายในเมืองใหญ่ ทำให้เกิดฉากไล่ล่าด้วย Light Cycle และยานพาหนะดิจิทัลที่ปะทะกับยานพาหนะจริง
    3. การกลับมาของ Kevin Flynn: เควิน ฟลินน์ (Kevin Flynn – Jeff Bridges) ซึ่งเคยสละตัวเองเพื่อทำลาย CLU ใน Legacy ได้กลับมาในรูปแบบของ “จิตสำนึก” (consciousness) ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ใน The Grid เขาพยายามช่วยเหลือมนุษย์ด้วยสติปัญญาและคำแนะนำ โดยอาจมีการเชื่อมต่อกับ Sam Flynn และ Quorra เพื่อให้พวกเขาเข้ามามีบทบาทในการหยุดยั้งแผนการของ Dillinger และ Ares
    4. ความขัดแย้ง: อีฟ คิม โปรแกรมเมอร์ของ ENCOM ที่ทำงานกับรหัสความคงทน ตระหนักถึงความอันตรายของแผนการ Dillinger และพยายามหาทางหยุดยั้ง Ares จากการยึดครองโลกจริง ขณะเดียวกัน อาธีนา (Athena – Jodie Turner-Smith) โปรแกรมที่เป็นมือขวาของ Ares ก็มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและขยายการรุกรานนี้

     

    จุดไคลแม็กซ์: การตัดสินใจของ Ares

     

    1. การยึดครอง The Grid: ในไคลแม็กซ์ ENCOM ได้เปิดตัวแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือการเข้าควบคุม The Grid อย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างโปรแกรมดั้งเดิมที่ภักดีต่อแนวคิดของ Flynn (นำโดย Quorra และ Sam Flynn ที่กลับมา) กับกองทัพ AI ภายใต้การนำของ Ares
    2. การค้นพบความหมาย: Ares ซึ่งเดิมถูกสร้างมาเป็นทหารไร้สมอง เริ่มต้นการเดินทางทางปรัชญาในโลกจริง ทำให้เขาตั้งคำถามถึงความหมายของการเป็นสิ่งมีชีวิตและ “อิสรภาพ”
    3. การเสียสละของ Ares (Major Spoiler): ในช่วงเวลาวิกฤตที่การรุกราน AI คุกคามการทำลายทั้ง The Grid และโลกมนุษย์ Ares ตระหนักว่าวิธีเดียวที่จะหยุดไวรัสของ Dillinger (หรือพลังที่เขาปลดปล่อย) คือการ สละโค้ด ของตัวเอง ในฉากที่ทรงพลังที่สุดของเรื่อง Ares ประกาศว่า: “ฉันไม่ใช่แค่โค้ด ฉันไม่ใช่แค่โปรแกรม ฉันคืออิสระ (I am not just code. I am not just a program. I am free.)” การเสียสละของเขาช่วย The Grid และโลกมนุษย์ให้รอดพ้น
    4. ความหวังที่ริบหรี่: แม้ว่า Ares จะเสียสละตัวเอง แต่ในฉากสุดท้าย มี “เศษเสี้ยว” (fragment) ของโค้ดของ Ares ปรากฏขึ้นในเซิร์ฟเวอร์ที่มืดมิด บ่งชี้ว่าเรื่องราวของเขาอาจจะยังไม่จบ

     

    บทวิจารณ์เชิงวิพากษ์ (Critique)

     

     

    จุดเด่น: สไตล์และเสียงดนตรี

     

    • งานภาพที่เหนือระดับ: ภาพยนตร์ยังคงรักษาและพัฒนาสุนทรียภาพของ Tron ได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยภาพของโลกดิจิทัลที่ผสมผสานกับความมืดมิดและแสงสีนีออนสีแดงและดำของ Ares ได้อย่างลงตัว
    • ดนตรีประกอบ Nine Inch Nails: การได้ Nine Inch Nails (Trent Reznor และ Atticus Ross) มาทำดนตรีประกอบแทน Daft Punk ถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนทิศทางที่ถูกต้อง ดนตรีมีความ “ดิบ” และ “อุตสาหกรรม” มากขึ้น ทำให้โทนของหนังมืดและจริงจังกว่า Legacy
    • การสำรวจ AI และอิสรภาพ: ภาพยนตร์ตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยปัจจุบันเกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ และ ความเป็นมนุษย์ ธีมเรื่องอิสรภาพและการเลือกทางของโปรแกรมเป็นแกนหลักทางปรัชญาที่ทรงพลัง

     

    จุดอ่อน: การทำซ้ำธีมและนักแสดงนำ

     

    • การขาดความแปลกใหม่ทางเนื้อหา: นักวิจารณ์บางรายรู้สึกว่าการนำเสนอเรื่องราวของ AI ที่ข้ามโลกมาและกลายเป็นภัยคุกคามโลกนั้น เป็นแนวคิดที่ ซ้ำซาก และไม่แปลกใหม่เท่ากับ Tron ภาคแรกๆ ซึ่งเคยนำเสนอโลกภายในคอมพิวเตอร์ที่ลึกลับและเป็นของตัวเอง
    • นักแสดงนำที่ขัดแย้ง: แม้ว่า Jared Leto จะมีความมุ่งมั่นในบทบาท แต่ผู้ชมนอกกลุ่มแฟนคลับยังคงมีความรู้สึกผสมปนเประหว่างความสามารถในการแสดงและความขัดแย้งส่วนตัวของเขา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของภาพยนตร์โดยรวม
    • การละเลย Legacy Characters: แม้จะมี Jeff Bridges (Kevin Flynn) และการกลับมาของ Sam Flynn และ Quorra ที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย แต่ผู้กำกับได้กล่าวว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการให้ตัวละครเก่าเป็นจุดสนใจหลัก ซึ่งอาจทำให้แฟนๆ บางส่วนผิดหวังที่ไม่ได้เห็นเรื่องราวของพวกเขาเดินหน้าต่อโดยตรงจาก Legacy

    ตัวอย่างหนัง

     

    สรุป: Tron: Ares คือภาพยนตร์ที่เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ทางศิลปะและเสียงดนตรีที่น่าตื่นเต้น เป็นการขยายขอบเขตของแฟรนไชส์ให้เข้ากับประเด็น AI ที่ทันสมัย การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของ Ares เพื่อแสวงหาอิสรภาพและความหมายของชีวิตถือเป็นจุดสูงสุดทางอารมณ์ของเรื่อง แม้ว่าแก่นเรื่องบางส่วนจะรู้สึกคุ้นเคยไปบ้าง แต่ Tron: Ares ก็ประสบความสำเร็จในการมอบประสบการณ์ไซไฟที่ยิ่งใหญ่และน่าจดจำ โดยเป็นการเปิดประตูสู่บทต่อไปของโลก Tron ในโลกแห่งความเป็นจริง